ทำความรู้จักกับภาวะ เงินเฟ้อ เงินฝืด ต่างกันอย่างไร มาดูกัน

อัตราเงินเฟ้อและภาวะเงินฝืดเป็นคำศัพท์ที่พวกเราได้ยินมามาก แต่สิ่งที่เหล่านี้มันหมายถึงอะไร และสิ่งนี้มีผลกระทบกับเราอย่างไร ขอยกตัวอย่างง่ายๆ ก่อนที่เราจะเข้าไปเจาะลึกในแต่ละหัวข้อกัน ในส่วนของ “อัตราเงินเฟ้อ” เกิดขึ้นเมื่อราคาสินค้าและค่าบริการเพิ่มสูงขึ้น “ขณะที่ “เงินฝืด” เกิดขึ้นเมื่อราคาสินค้าลดลง ความสมดุลระหว่างสองเงื่อนไขทางเศรษฐกิจนี้ เปรียบเสมือนกับเหรียญที่อยู่กันคนละด้าน ซึ่งมันต้องอาศัยปัจจัยที่ละเอียดอ่อน ที่จะพลิกผันจากเงื่อนไขหนึ่งไปอีกสภาวะหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว

ความหมายของ “เงินเฟ้อ” (Inflation)

มูลค่าของเงินบาทจะถูกกำหนดโดยกำลังซื้อ หรือบริการที่เงินนั้นสามารถซื้อได้ เมื่อเริ่มเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้นเงินบาทของเราก็จะมีมูลค่าน้อยลง ประเภทของอัตราเงินเฟ้อประกอบไปด้วย “แรงกดดันเงินเฟ้อตามอุปสงค์” เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อมีความต้องการเพิ่มขึ้น เมื่ออุปสงค์เติบโตเร็วกว่าอุปทานราคาก็จะสูงขึ้น “ต้นทุนเพิ่ม” หากค่าใช้จ่ายในการผลิตเพิ่มขึ้น บริษัทก็ต้องเพิ่มราคาเพื่อรักษาอัตราผลกำไร และ “อัตราเงินเฟ้อ” สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อเศรษฐกิจมีการอัดฉีดเงินเข้ามามากเกินไป เมื่อมีอะไรมากเกินไป ก็มักจะทำให้มูลค่าหรือราคาลดต่ำลง

อัตราเงินเฟ้อนั้นไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายเสมอไป เพราะมันมีผู้ชนะและผู้แพ้เมื่อเกิดเงินเฟ้อขึ้น หากคุณเป็นหนี้อยู่ คุณจะต้องจ่ายเงินน้อยลงเพื่อใช้หนี้เท่าเดิม แต่อัตราเงินเฟ้อส่งผลเสียต่อการออมของคุณ เงินที่คุณเก็บไว้ตอนนี้มีค่าน้อยลงในอนาคตเมื่อคุณจำเป็นต้องใช้จ่าย หากคุณเป็นคนที่อาศัยอยู่กับรายได้คงที่ที่ไม่ได้ปรับอัตราเงินเฟ้อเงินของคุณก็จะมีค่าน้อยลงเช่นกัน หากอัตราเงินเฟ้อในประเทศใดประเทศหนึ่งสูงกว่าประเทศคู่ค้า สินค้าของประเทศนั้นจะมีราคาแพงกว่าสินค้านำเข้า ที่สามารถส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศ

ภาวะการเงิน
ภาวะทางการเงินมีความสำคัญกับเรา ทความรู้จักกับภาวะทางการเงิน

ความหมายของ “เงินฝืด” (Deflation)

ภาวะเงินฝืดเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับเงินเฟ้อ เพราะราคาสินค้าตกต่ำลง ภาวะเงินฝืดเกิดขึ้นบ่อยกว่าอัตราเงินเฟ้อมาก เมื่อมันเกิดขึ้นก็มักจะไม่นานกว่าจะที่กลับสู่ภาวะปกติ ภาวะเงินฝืดมักจะเห็นบ่อยในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย สาเหตุหลักของภาวะเงินฝืดมีอยู่สองประการ คือ ความต้องการที่ลดลง ผู้คนกำลังซื้อน้อยลง เนื่องจากต้นทุนในการผลิตสินค้าลดลง แล้วทำไมเงินฝืดมันถึงไม่ดี เมื่อราคาลดลงคนจะซื้อมากขึ้น เมื่อคนเริ่มซื้อสิ่งต่างๆ ถือเป็นแรงที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อัตราเงินฝืด 2-3% นั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี และรัฐบาลพยายามรักษาไว้มันให้อยู่ในระดับนี้เสมอ แต่ภาวะเงินฝืดนั้นไม่ดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม

หากราคาลดลงเรื่อยๆ ผู้คนต้องการใช้จ่ายเงินอย่างต่อเนื่องรอให้สิ่งต่างๆ ถูกลง ดังนั้นคนจะเริ่มหยุดการใช้จ่าย หากผู้คนไม่ได้ซื้อของเป็นระยะเวลานานพอ มันจะสร้างเสียหายให้กับธุรกิจ ผู้ประกอบการบางรายอาจถึงกับต้องเลิกจ้างคนงาน เมื่อคนตกงานพวกเขาก็ใช้จ่ายน้อยลงน้อยลง จนกระทั่งอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายสุดๆ จนอาจทำให้เศรษฐกิจของประเทศพังทลายลงได้ เช่นเดียวกับภาวะเงินเฟ้อรัฐบาลต้องการให้ภาวะเงินฝืดลอยตัวประมาณ 2-3% หากปริมาณเงินเพิ่มขึ้น ราคาของก็จะถูกลงเงินทุกบาทสามารถซื้อได้มาก

ภาวะเงินฝืดทำให้การซื้อของราคาถูกกว่าในระยะสั้น จึงเป็นประโยชน์สำหรับประชาชนทั่วไป อย่างไรก็ตามภาวะเงินฝืดค่อนข้างเกิดขึ้นได้ยาก แถมมันยังไม่อยู่เพียงไม่นานก็หายไป เนื่องจากสามารถส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเศรษฐกิจทั้งหมด รัฐบาลจึงดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อควบคุม แบบวันต่อวันเราไม่อาจรู้สึกว่าได้รับผลกระทบมากนัก แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าเงินในอนาคตของทุกคนจะปลอดภัย วิธีที่หลายคนใช้เซฟตัวเองคือการหันมาลงทุนใน “ตลาดหุ้น” ผลตอบแทนตลาดโดยเฉลี่ย 7% เทียบกับอัตราเงินเฟ้อ 3% กับ “อสังหาริมทรัพย์” ซึ่งไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากภาวะเหล่านี้มากนัก